ขับเคลื่อนโดย Blogger.

wellcome

wellcome
RSS

Flaxseed Oil (น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์)

 

 


Flaxseed Oil (น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์)

           หรือ Linseed Oil (น้ำมันเมล็ดลินิน) คือน้ำมันที่สกัดได้จากเมล็ดของต้นลินิน หรือต้นปอป่าน ในปัจจุบันมีการเพาะปลูกกันมากในประเทศแถบยุโรปและอเมริกา  ซึ่งเป็นแหล่งของกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็น กลุ่มโอเมก้า 3, 6, 9 ดังนี้

6 กรดแอลฟ่า-ไลโนเลนิก (Alpha-Linolenic Acid หรือ ALA) จัดอยู่ในกลุ่มกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็น ที่มีปริมาณมากกว่าในน้ำมันปลาถึง 60% มีประโยชน์อย่างมากต่อระบบการไหลเวียนของเลือด

6  กรดไลโนเลอิก (Linoleic Acid หรือ LA) เป็นกรดไขมันจำเป็นในกลุ่มโอเมก้า 6 ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้นและลดอาการอักเสบของผิวหนัง

6 กรดโอเลอิก (Oleic Acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 9 มีการออกฤทธิ์คล้ายโอเมก้า 3 และ 6 ทำหน้าที่ช่วยเสริมการทำงานของสารทั้งสองตัวให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

            นอกจากนี้  ยังมีสารพฤกษเคมีอีกหนึ่งชนิด ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ คือ  ลิกแนน (Lignans) ”   ซึ่งเป็นไฟโตเอสโตรเจน (phytoestrogens) ซึ่งมีมากกว่าพืชชนิดอื่นถึง 75 เท่า มีการออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

ประโยชน์ของน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed Oil)

            ในปัจจุบัน พบว่า อาหารที่รับประทานส่วนใหญ่จะประกอบด้วยกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 6   แต่มีกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 น้อยมาก ทำให้ร่างกายเสียสมดุลของกรดไขมันในร่างกาย อันเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังหลายชนิด 

1. ลดคลอเลสเตอรอล ควบคุมความดันโลหิต และป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจ

            กรดแอลฟ่า-ไลโนเลนิก  ที่พบในน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์  ทำหน้าที่ยับยั้งการแข็งตัวของเลือด, ช่วยขยายหลอดเลือด, ลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ จึงทำให้ลดความดันโลหิต และลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยโรคทางระบบหลอดเลือดและหัวใจ

            มีผลวิจัยทางการแพทย์ พบว่า กลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจที่รับประทานน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ 3,000 มก./วัน ร่วมกับวิตามินอีธรรมชาติ 200-400 หน่วยสากล สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลวได้ถึง 15% และจากการศึกษาใน Boston’s Simmons College ระยะเวลา 5 ปี พบว่า น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์มีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจวาย และป้องกันความดันโลหิตสูงได้

2. ลดอาการปวดอักเสบของโรคข้อต่างๆ เช่น ข้อเสื่อม และรูมาตอยด์

            กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ในน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ สามารถลดการอักเสบของโรคข้อต่างๆได้ เช่น โรคข้อเสื่อม, โรครูมาตอยด์ และโรคเกาท์ ซึ่งจากการศึกษากับผู้ป่วยไขข้ออักเสบ (Rheumatoid Arthritis) พบว่า มีผลต่อการสร้างสารที่ลดการอักเสบในร่างกายหลายชนิด เช่น Interleukin-1, Tumor necrosis factor และLeukotriene B4 จึงช่วยบรรเทาอาการข้อบวม, ปวดข้อลงได้ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น

3. ลดการอักเสบของผิว บำรุงสุขภาพเส้นผมและเล็บ

            กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 6 ที่พบในน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ จัดเป็นกรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acid หรือ EFAs) ซึ่งร่างกายจะนำไปใช้ในการสร้าง Prostaglandin PGE1 ซึ่งช่วยลดอาการอักเสบต่างๆของผิวหนัง เช่น การแพ้, ผื่นคัน, สิว และกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ในน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น รวมถึงช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี, เงางาม, ไม่แห้งแตกปลาย และต่อต้านการอักเสบที่หนังศีรษะ รวมถึงผู้ทีปัญหาหนังศีรษะแห้ง นอกจากนี้ยังช่วยให้เล็บแข็งแรงไม่เปราะหักง่าย

4. ลดความผิดปกติของสตรีวัยหมดประจำเดือน และต่อต้านความชรา

            สารลิกแนน ในน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน (Phytoestrogen) และช่วยปรับความสมดุลของฮอร์โมน ดังนั้นจึงช่วยบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้ เช่น อาการร้อนวูบวาบ, เหงื่อออกในเวลากลางคืน, หลับไม่สนิท, ผิวพรรณและช่องคลอดแห้ง เป็นต้น ประกอบกับสารลิกแนน ยังช่วยป้องกันผลจากความชราภาพในหลายๆด้าน นอกจากนี้กรดไขมันจำเป็นในน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ ยังช่วยอาการผิดปกติของการมีประจำเดือนได้อีกด้วย เช่น อาการคัดหน้าอก, ปวดเมื่อย, ปวดท้อง เป็นต้น

5. ลดอาการตาแห้ง

            การรับประทานน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์สามารถลดอาการตาแห้ง โดยการเพิ่มทั้งคุณภาพและปริมาณของชั้นน้ำตาส่วนไขมัน และช่วยหล่อลื่นดวงตา ซึ่งจากการศึกษา พบว่า การรับประทานน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์3,000 มก./วัน ก่อนทำเลสิค 1 สัปดาห์ และหลังทำเลสิค 1 สัปดาห์ สามารถลดอาการตาแห้งที่มักเกิดขึ้นหลังจากการทำเลสิคลงได้

 6. ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

            สารลิกแนน ในน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง ซึ่งในปัจจุบันพบว่าผู้หญิง 1 ใน 9 คน เป็นมะเร็งเต้านม เนื่องจากการมีระดับของฮอร์โมนที่ไม่สมดุล จากการศึกษา พบว่า การบริโภคน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมได้ถึง 40% เพราะช่วยขับเอสโตรเจนส่วนเกินออกจากร่างกาย และช่วยลดการแบ่งตัวของเซลล์ที่ทรวงอกอย่างรวดเร็วเกินไป ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมได้ รวมทั้งชะลอการเติบโตของเนื้องอก ทำให้น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ มีบทบาทในการนำมาใช้เพื่อป้องกันโรคมะเร็งเต้านม, มดลูก, ลำไส้ใหญ่, ต่อมลูกหมาก รวมถึงมะเร็งผิวหนัง ถึงแม้ว่าจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม แต่จากการศึกษาโดย University of Toronto บ่งชี้ว่า ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม (ไม่คำนึงถึงระดับความรุนแรงของโรคมะเร็ง) จะได้รับประโยชน์ด้านการรักษาที่เพิ่มขึ้นเมื่อมีการรับประทานน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์

ขนาดรับประทาน

เทียบขนาดรับประทานจาก น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ที่ได้รับมาตรฐานสากลจากประเทศสหรัฐอเมริกา

- รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล (1,000 มก.) วันละ 1 ครั้ง หลังอาหาร

  จุดเด่นของน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed Oil)

- ประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวถึง 3 ชนิด ได้แก่ โอเมก้า 3, 6 และ 9

- เป็นกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ที่สกัดจากพืช จึงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ และผู้ที่แพ้อาหารทะเล (น้ำมันปลา) ที่ต้องการโอเมก้า 3

เอกสารอ้างอิง

1. Cunnane, Stephen C., et al. "High α-linolenic acid flaxseed (Linum usitatissimum): some nutritional properties in humans." British Journal of Nutrition 69.02 (1993): 443-453.

2. Chen, Jianmin, P. Mark Stavro, and Lilian U. Thompson. "Dietary flaxseed inhibits human breast cancer growth and metastasis and downregulates expression of insulin-like growth factor and epidermal growth factor receptor." Nutrition and cancer 43.2 (2002): 187-192.

3. Prasad, Kailash. "Dietary flax seed in prevention of hypercholesterolemic atherosclerosis." Atherosclerosis 132.1 (1997): 69-76.

4. Thompson, Lilian U., et al. "Mammalian lignan production from various foods." (1991): 43-52.

5. Kitts, D. D., et al. "Antioxidant activity of the flaxseed lignan secoisolariciresinol diglycoside and its mammalian lignan metabolites enterodiol and enterolactone." Molecular and cellular biochemistry 202.1-2 (1999): 91-100.

6. Wojtowicz, Jadwiga Cristina, et al. "Pilot, prospective, randomized, double-masked, placebo-controlled clinical trial of an omega-3 supplement for dry eye." Cornea 30.3 (2011): 308-314.

 


 

 

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
Read User's Comments0

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น